วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ชีวิตกำหนดเอง

ชีวิตกำหนดเอง

"การศึกษาไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงแต่มันจะปูพื้นฐานชีวิตของคุณ 
เพราะชีวิตของคุณ คุณกำหนดมันเอง"


บนทางเดิน
อาจไม่มีทางไหนมุ่งไปดวงดาว
ที่ส่องสกาวบนนภา
และคนที่เดินดินทุกทุกคนก็รู้ว่า
มันไกลเกินที่คนจะก้าวไป


ในความเป็นจริง
เส้นทางบนดินนั้นก็มีดวงดาว
ที่ส่องสกาวอยู่ไม่ไกล
และตัวฉันคนนึงที่ต้องการจะก้าวไป
ฉันมั่นใจว่าคงไม่ยากเกิน
เพราะฉันนั้นต้องการมีเสี้ยวนาทีที่ยิ่งใหญ่
ให้ใจจดไว้นานเท่านาน
อยากจะได้ภูมิใจ ที่มือฉันเคยได้เอื้อมผ่าน
ได้เก็บดาว ที่แสนไกล … ด้วยตัวฉันเอง

คนบางคนอาจจะมีใจท้อแค่ตรงกลางทาง
หมดความหวังในหัวใจ
แต่มีฉันคนนึงที่ยังคงจะก้าวไป 
ฉันมั่นใจกับทางที่เลือกเดิน
ฉันนั้นต้องการเขียนตำนานให้หัวใจ
เพื่อจำจดไว้นานเท่านาน
สิ่งที่ฉันทำไปจะเป็นเส้นทางให้ข้ามผ่าน

สู่จุดหมายที่ตั้งใจ
ด้วยตัวฉันเอง
ทุกวันนี้เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า "   นี่แหละคือ เส้นทางที่ฉันเลือกเดิน "
และนี่คือ " ชีวิตที่เรากำหนดมันขึ้นเอง "   ด้วยกายและใจเรานี่แหละ
ใครที่ยังท้อ ใครที่ยังทุกข์  หมั่นทบทวนทุกๆครั้งที่เกิดความทุกข์
เห็นทุกข์ไหม ทุกข์เพราะอะไรทั้งๆที่รู้ว่าทุกข์ แต่ทำไมจึงยังวิ่งหาทุกข์กันอยู่อีก
ตัวเราถือว่าได้ประสพความสำเร็จในระดับหนึ่ง
คำว่า ประสพความสำเร็จของเรา หมายถึง " ชีวิต " นะ
ไม่ใช่ไปประสพความสำเร็จทางโลกๆ เรื่องทางโลกๆ เราไม่ปรารถนาอันใดแล้ว
เพราะรู้แล้วว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ ส่งผลให้ได้รับทั้งทางโลกและทางธรรม
ไม่ต้องไปดิ้นรนหาหนทางใดๆ
ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาดาวแบบที่เขาพูดๆกัน
ไม่ต้องไปเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วยเหลือ
ไม่ต้องไปหาที่พึ่งพิงนอกตัว
ไม่ต้องไปวิ่งหาสิ่งที่สนองทำให้เกิดความสุข
มันจะมีแต่คำว่า " ไม่ต้อง "
เรามีหน้าที่เพียง ดู รู้ลงไป กับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ
ไม่ว่าจะชอบหรือชัง แค่รู้ แล้วชอบหรือชังจะหายไปเอง
ไม่ต้องไปหาวิธีการ มีแค่เฝ้าดู รู้ลงไป แล้วอยู่กับสิ่งนั้นๆ
ยิ่งหาวิธีการ ยิ่งวุ่นวาย มีแต่ส่งจิตออกนอก
เพราะมันคือกิเลสตัวหนึ่งที่เนียนมากๆ
ความอยาก  ความอยากสำเร็จ แต่ไม่รู้ไม่อยาก
จึงพยายามหาวิธีการ ที่คิดว่าเป็นหนทางพาไปสู่ความสำเร็จได้
ยิ่งดิ้น ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งมองไม่ออก เพราะความอยากบดบังดวงตา
บดบังปัญญาไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง ในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง
ทุกๆการกระทบ คือ สภาวะของคนๆนั้น
ทุกๆสภาวะคือบททดสอบสติ สัมปชัญญะ 
และ การชดใช้หนี้กรรมที่เคยได้สร้างเหตุเอาไว้ด้วยความไม่รู้
คิด สักแต่ว่า คิด
อย่าไปให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เพียงดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วแค่รู้ อย่าไปยึดติดจนทำให้เกิดอุปทานขึ้นมา

คำว่า " คนดี " เป็นเพียงการให้ค่าเท่านั้นเอง
เป็นการให้ค่าต่อสิ่งที่มากระทบ ที่เรามองเห็นแค่เปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เมื่อเกิดความชอบใจหรือพอใจในสิ่งๆนั้น ตรงกับความรู้สึกของเรา เราก็ให้ค่าแก่สิ่งนั้นว่า " ดี "
เช่นเดียวกับเมื่อเกิดความไม่ชอบใจหรือไม่พอใจในสิ่งๆนั้น ที่ตรงข้ามหรือมีความเห็นต่าง
กับความรู้สึกของเรา เราก็ให้ค่าแก่สิ่งนั้นว่า " ไม่ดี "
ทุกอย่างล้วนเกิดจากอุปทาน แล้วเราไปเกาะเกี่ยวเข้ามา ปรุงแต่งมันเองค่ะ
คำว่า " ดี " หรือ " ไม่ดี " ล้วนเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นเองค่ะ
หน้าที่ของเราคือ เจริญสติต่อไป ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น 
แค่ดู แค่รู้ อย่าไปให้ค่า ให้ความหมายใดๆ
อย่าคาดหวัง ถ้าคาดหวัง ย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ทุกอย่างมันไม่เที่ยง
อย่าคาดเดา เมื่อคาดเดา สภาวะย่อมเปลี่ยนไป ทุกอย่างมันไม่เที่ยง
อย่าอยาก เพราะ ความอยากเป็นตัวปิดกั้นปัญญาไม่ให้เกิด
ยิ่งมีความอยากมากเท่าไหร่อุปทานยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งกลายเป็นว่า ส่งจิตออกนอกมากขึ้นเท่านั้น

ใครจะทำอะไรหรืออย่างไร นั่นคือเขาไม่ใช่เรา
เรา เขา ล้วนไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าใครก็ตาม สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลตามนั้น
ตอนนี้เรากำลังสร้างเหตุดีนะคะ นี่คือชีวิตใหม่ของเราค่ะ
เมื่อเจอผัสสะที่คิดว่า  " ดี "  อย่าไปให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่คิดว่า " ดี "
เมื่อเจอผัสสะที่คิดว่า " ร้าย " อย่าไปให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่คิดว่า " ร้าย "
สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ไม่ว่า จะดีหรือร้าย ล้วนเป็นหลุมพรางของกิเลส
จงอย่าพยายามแก้ไข ให้ดู แล้วรู้ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่าตอบโต้ การตอบโต้ คือ การแก้ไข คือ การสร้างภพชาติใหม่ให้เกิดขึ้น ยืดยาวออกไป
คุณล่ะ ตัดสินใจกำหนดชีวิตของคุณเอง ด้วยตัวคุณเองแล้วหรือยัง
หรือว่ายังปล่อยให้เป็นไปตามเหตุที่กระทำมา แล้วยังคิดกระทำต่อไปอีก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: https://walailoo2010.wordpress.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น