วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้และฟินแลนด์

ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้และฟินแลนด์

ระบบการศึกษาของเกาหลี


ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้จัดตามข้อกำหนดของกฎหมายการศึกษาซึ่งประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1949 กำหนดให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษาตามความสามารถ โดยเด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาเป็นอย่างน้อย ซึ่งรัฐจัดให้ฟรี ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้เป็นระบบ 6 – 3 – 3 – 4 คือ ชั้นประถมศึกษา 6 ปี มัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี มัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปี และวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัย 4 ปี กฎหมายการศึกษาได้กำหนดวันเวลาการเรียนใน 1 รอบปีการศึกษาของระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายเท่ากับ 220 วัน ระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเท่ากับ 32 สัปดาห์ ภาคเรียนมี 2 ภาค ภาคต้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม ภาคเรียนที่ 2 เริ่มตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน ถึง สิ้นเดือนกุมภาพันธ์

ระบบการศึกษาของเกาหลีจัดแยกได้เป็น  3 ประเภท คือ

1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน
การศึกษาขั้นพื้นฐานมี 3 ระดับคือ อนุบาลศึกษาหรือก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา
ระบบการศึกษาของเกาหลีระดับอุดมศึกษา แบ่งสถาบันการศึกษาออกเป็น 5 ประเภท คือ วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยหลักสูตร 4 ปี (ซึ่งรวมทั้งมหาวิทยาลัยเปิด) วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา โพลีเทคนิคและโรงเรียนพิเศษ (miscellaneous schools) โดยสถาบันทั้งหมดสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แต่ละประเภทมีลักษณะดังนี้คือ
2.1 วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย
หลักสูตรปริญญาตรีจะมีหน่วยกิตไม่น้อยกว่า 140  หน่วยกิต ในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งอาจจะมีบัณฑิตวิทยาลัยที่เปิดสอนถึงปริญญาโทและเอกได้ ปัจจุบันมหาวิทยาลัยพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการบริหารวิชาการ โดยพยายามรวมภาควิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่เป็นภาควิชาเดียวกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันผลิตบัณฑิตและเป็นการลดพรมแดนการแบ่งแยกภาควิชาไปในตัว
ในส่วนของมหาวิทยาลัยเปิด (Korea National Open University) มีต้นกำเนิดมาจากมหาวิทยาลัยทางอากาศเกาหลี ที่มีฐานะเป็นสถาบันสมทบกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ในปี 1972 มุ่งเน้นการสอนในด้านอาชีวศึกษา และปรับมาเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งชาติเกาหลีในปี  1994
รัฐจะกำหนดเกณฑ์มาตรฐานเป็นบรรทัดฐานเพื่อการรับรองคุณภาพมหาวิทยาลัย ซึ่งมาตรฐานจะแตกต่างไปตามรูปแบบของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันรัฐอนุญาตให้ตั้งมหาวิทยาลัยในระดับจังหวัดได้ เพื่อให้เกิดมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่สามารถตอบสนองชุมชนหรือความต้องการของ สาขาวิชาชีพซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของระบบการศึกษาของเกาหลี แต่มหาวิทยาลัยก็ต้องมีการประเมินตนเองเป็นประจำทุกปี ในแง่ของการประเมินจากองค์กรภายนอกจะดูที่คุณภาพของงานวิจัยและจำนวนผู้จบการศึกษา
ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นต่อรัฐทำหน้าที่ประเมินเพื่อการรับรองคุณภาพของมหาวิทยาลัยในเกาหลี องค์กรนี้เรียกว่า สภาการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเกาหลี (Korea Council for University Education – KCUE) เป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากกระทรวงศึกษาธิการ วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยโดยทั่วไป
2.2 สถาบันผลิตครู   
มี  2  รูปแบบ คือ วิทยาลัยครูและวิทยาลัยวิชาการศึกษา 
วิทยาลัยครู ผลิตครูเพื่อไปสอนระดับประถมศึกษา ผู้ที่เรียนจบจะได้รับปริญญาบัตรและประกาศนียบัตรการสอนประถมศึกษา นักเรียนที่เข้าเรียนจะเป็นนักเรียนทุนได้รับการยกเว้นค่าลงทะเบียนและค่าสอน แต่เมื่อจบแล้วต้องไปเป็นครูในโรงเรียนประถมศึกษาอย่างน้อย 4 ปี ส่วนวิทยาลัยวิชาการศึกษา ใช้หลักสูตร 4 ปี เช่นกันเพื่อผลิตครูระดับมัธยมศึกษา นอกจากนั้นยังมีมหาวิทยาลัยทางการศึกษาชื่อว่า Korea National University of Education ตั้งขึ้นในปี 1985 เพื่อผลิตครูชั้นนำที่สามารถสอนและวิจัย เกี่ยวกับการศึกษาในระดับอนุบาล ประถมและมัธยมได้ รวมทั้งสร้างบุคลากรที่จะเป็นหัวหอกของการปฏิรูปการศึกษา ตลอดจนการเน้นบทบาทด้านการฝึกอบรมครูและวิจัยทางการศึกษา
2.3 วิทยาลัยอาชีวศึกษา 

เป็นสถาบันที่สอน 2-3 ปี หลังระดับมัธยมศึกษา สาขาวิชาที่ยอดนิยมคือ วิศวกรรม เทคโนโลยีและพยาบาล
2.4 โพลีเทคนิคหรือมหาวิทยาลัยเปิดทางอุตสาหกรรม (Open Industrial University)

สถาบันนี้มุ่งให้การศึกษาทางอาชีวะแก่ผู้ใหญ่ที่กำลังทำงานและประสงค์จะเรียนในระดับอุดมศึกษา
2.5 โรงเรียนเสริมพิเศษ (Miscellaneous school)

เป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อเปิดสอนสาขาวิชาที่ไม่ได้เปิดสอนในวิทยาลัยโดยปกติทั่วไป สถาบันจึงมีขนาดเล็กกว่าวิทยาลัยแต่ก็เปิดสอนหลักสูตร 4 ปีเช่นกันในบางแห่ง เมื่อจบแล้วผู้เรียนจะได้รับวุฒิบัตรและประกาศนียบัตร มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากับวิทยาลัยอื่น ถ้าสถาบันที่จบได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ

ระบบการศึกษาของเกาหลี ยุคใหม่

ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่เป็นการจัดการศึกษาโดยสร้างระบบการศึกษาใหม่ (New Education System) เพื่อมุ่งสู่ ยุคสารสนเทศและโลกาภิวัตน์โดยเป้าหมายสูงสุดของระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ คือความเป็นรัฐสวัสดิการทางการศึกษา สร้างสังคมการศึกษาแบบเปิดและตลอดชีวิต ทำให้ชาวเกาหลีทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากการศึกษาได้ทุกเวลาและทุกสถานที่
รัฐปรับโครงสร้างระบบการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและเทคนิค นำเยาวชนเข้าสู่ชีวิตยุคสารสนเทศมีเสรีภาพที่จะถ่ายโอนการเรียน สามารถถ่ายโอนหน่วยกิตข้ามโรงเรียนหรือข้ามสถาบันการศึกษาตลอดจนข้ามสาขาวิชาได้ ณ วันนี้ระบบการศึกษาของเกาหลียุคใหม่ ได้ให้ความสำคัญแก่ผู้เรียน จัดให้มีโรงเรียนและการศึกษาเฉพาะทางหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถหาความรู้พัฒนาตนเองตามความสนใจ โรงเรียนมีอำนาจในการบริหารจัดการโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนและผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่และอุปกรณ์ในระบบมัลติมีเดียช่วยให้บุคคลศึกษาหาความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมทั้งจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยทางวิชาชีพ เพื่อพัฒนาวิชาชีพในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ
กล่าวโดยสรุป เกาหลีได้สร้างระบบการศึกษาสมัยใหม่ ที่มุ่งพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการเป็นสังคมแห่งความรู้ (Knowledge-based Society) สร้างสภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้คนเกาหลีมีความรู้ ความสามารถ มีความทันสมัย และที่สำคัญคือมีจริยธรรม แต่ยังคงความเป็นเลิศด้านการศึกษาและดำรงมาตรฐานของระบบการศึกษาของเกาหลีได้อีกด้วย

ระบบการศึกษาของฟินแลนด์

ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณ 5 ล้านคน (น้อยกว่ากรุงเทพซะอีก) ซึ่งคนไทยอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของประเทศนี้นัก แต่ถ้าบอกว่าประเทศนี้แหละ คือต้นกำเนิดของ Nokia มือถือที่ (เคย) ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมอีกมากมายที่ถือกำเนิดในฟินแลนด์ ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้เริ่มต้นมาจากพื้นฐานด้านชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเยี่ยม มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้การพัฒนาคุณภาพประชากรที่นี่มีคุณภาพ

ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด โดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา โดยการจัดอันดับนี้ใช้รูปแบบการวัดความสามารถในการแก้ปัญหา (ไม่ใช่การทำข้อสอบ) และการอ่านเขียน (ภาษาของตนเอง) ที่ชื่อ PISA (Program for International Student Assessment) ผลคือ นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็น "นักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก" ประเมินจากนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับของนักเรียนจำนวน 65 ประเทศ


สิ่งที่ทำให้การศึกษาของฟินแลนด์แตกต่างจากประเทศอื่นๆ (โดยเฉพาะบ้านเรา) มีอะไรบ้าง เรามาดูกันค่ะ

finland-children

โรงเรียนอนุบาลไม่สำคัญเท่าเวลาจากครอบครัว
ที่ฟินแลนด์จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุ 6-7 ขวบ (ซึ่งที่บ้านเรานี่คือวัยเรียนประถมแล้ว) ที่นั่นไม่เน้นโรงเรียนอนุบาล แต่อยากให้เด็กมีเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่าครอบครัวสามารถให้ทั้งความรู้และความรัก ความเข้าใจในวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล ในขณะที่บ้านเราแม้แต่โรงเรียนอนุบาลยังต้องแย่งกันเข้าเรียน และพ่อแม่อยากรีบส่งลูกๆเข้าอนุบาล (หรือแม้แต่เตรียมอนุบาล) เพราะไม่มีเวลาดูแลเด็กๆด้วยตัวเอง ซึ่งฟินแลนด์ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหานี้ ฟินแลนด์ก็มีการเปิดรับนักเรียนตั้งแต่วัยเด็ก 8 เดือน - 5 ปี เช่นกัน เรียกว่า Daycare โดยที่ Daycare นั้นจะต้องมีสนามเด็กเล่นให้เด็กใช้วิ่งเล่นโดยที่ผู้ปกครองสามารถเข้าไปเป็นเพื่อนเล่นได้ โดยเปิดให้บริการฟรี แต้ถ้าพ่อแม่คนไหนไม่ต้องการส่งลูกไปที่ Daycare ก็สามารถที่จะจัดบ้านตัวเองเป็น Daycare ได้และทางเทศบาลเมืองจะมีการจ่ายเงินสนับสนุนให้ด้วย!! เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พ่อแม่เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองนั่นเองค่ะ และก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะรับเงินมาแล้วก็เลี้ยงลูกแบบทิ้งๆขว้างๆได้นะคะ เพราะทางเทศบาลเค้าจะมีการสุ่มตรวจอยู่เสมอว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกได้เหมาะสมหรือเปล่าค่ะ

Finland-Education

เรียนมากไปใช่ว่าจะดี เด็กควรมีเวลาทำในสิ่งที่สนใจ
เด็กในวัยประถมศึกษาที่ฟินแลนด์ จะเรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมง เพราะเค้าเชื่อว่าเด็กวัยนี้ควรจะมีเวลาทำในกิจกรรมที่ตัวเองสนใจมากกว่า ในขณะที่เด็กไทยเรียนกันเช้ายันเย็น แล้วยังมีต่อเรียนพิเศษกันอีกในตอนค่ำ (อาจจะเพราะผู้ปกครองบางคนทำงานเลิกดึก ไม่มีเวลามารับลูกๆ ก็ส่งให้ลูกเรียนพิเศษต่อไปก็มี) ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความเครียด และเกิดความรู้สึกแย่ต่อการเรียนได้

kids-at-desks-in-class

จำนวนเด็กในชั้นเรียนน้อย เพื่อการดูแลทั่วถึง
ห้องเรียนที่ฟินแลนดื จะกำหนดให้มีนักเรียนห้องละ 12 คน สูงสุดไม่เกิน 20 คน ยิ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงก็จะยิ่งจำกัดจำนวนเด็กในห้องให้น้อยลง (ซึ่งหลักการนี้จะคล้ายกับโรงเรียนสอนภาษาในประเทศอังกฤษที่ได้รับการรับรอง Highly Trusted) เพราะที่ฟินแลนด์จะเน้นการพัฒนาคน มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้และการดำรงชีวิต ซึ่งนักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน การดูแลรายบุคคลจึงเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ ในขณะที่บ้านเรา โรงเรียนยิ่งดัง ยิ่งรับนักเรียนมาก (โรงเรียนที่แอดมินจบมา มีนักเรียนมากกว่า 3 พันคน และมีนักเรียนห้องละ 50 คน) และการเรียนการสอนจะปลูกฝังให้นักเรียนมีค่านิยมเดียวกันหมด เช่น ต้องเป็นหมอ เป็นวิศวกร โดยที่ไม่พยายามพัฒนาและสนับสุนศักยภาพที่เหมาะสมกับบุคคล

findardized-tests

เพราะการศึกษาไม่ใช่การแข่งขัน ที่นี่จึงไม่มีเกรดเฉลี่ย
ที่ฟินแลนด์มองว่าการเรียนคือการพัฒนาแต่ละบุคคล ไม่ใช่การแข่งขัน ดังนั้นจึงไม่มีการให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวแบ่งแยกความภาคภูมิใจหรือความอับอายให้แก่เด็ก แต่เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้มากกว่า

Finland-Student2

ไม่ใช้ข้อสอบกลางในการวัดระดับ
เพราะเขาเชื่อว่าแต่ละโรงเรียนมีจุดประสงค์และเป้าหมายในการให้การศึกษาแก่นักเรียนแตกต่างกัน ฟินแลนด์จึงไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐานในการวัดผลนักเรียน (ซึ่งข้อนี้สามารถทำได้ เมื่อโรงเรียนมีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ) ซึ่งต่างจากบ้านเราที่ใช้ข้อสอบกลางในการวัดผลนักเรียน เช่น O-Net, A-Net เป็นต้น

Finland-Education2

การบริหารโรงเรียนที่มีคุณภาพ
ที่ฟินแลนด์จะใช้การจ้างผู้อำนวยการมาบริหารโรงเรียน และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ถ้าผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้ เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ หรืออายุราชการในการคัดเลือกคนมาบริหาร ไม่ได้เลือกจากอาจารย์ในโรงเรียน แต่ใช้การคัดเลือกคนที่มีความสามารถในการบริหารจริงๆ เพราะเชื่อว่าการสอนเก่ง กับการบริหารเก่งนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ทำให้โรงเรียนเขามีคุณภาพ

Finland-Teacher

ครูเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและมีเกียรติ
ที่ฟินแลนดื ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู เพราะครูเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับ ไม่ต่างจากแพทย์ หรือ ทนายความ ระบบการศึกษาในฟินแลนด์กำหนดให้อาจารย์ประจำชั้นต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโทในคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่วนอาจารย์ประจำวิชาจะต้องจบการศึกษาในคณะวิชาที่สอนก่่อนและจึงมาศึกษาต่อจนจบระดับปริญญาโทในคณะศึกษาศาสตร์ และยังมีข้อกำหนดพิเศษสำหรับครูการศึกษาพิเศษและครูแนะแนวต้องมีคุณวุฒิระดับปริญญาโทด้านการศึกษาพิเศษและการแนะแนวอีกด้วย

โดยกฎหมายฟินแลนด์กำหนดให้เด็กทุกคนเรียนการศึกษาภาคบังคับถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (เกรด 9) โดยรัฐบาลสนับสนุนงบ 85% และพอจบมัธยมต้นแล้ว แล้ว ก็จะจบการศึกษาภาคบังคับ ใครไม่อยากเรียนต่อก็ได้ ส่วนใครที่อยากเรียนต่อ รัฐจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณให้ผู้เรียนเกือบทั้งหมด ยกเว้นค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์การเรียน ก็จะสามารถแบ่งไปได้ 2 ทางคือ
  • โรงเรียนมัธยมปลาย คือเรียนต่อไปเกรด 10-12  เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในสายวิชาการ เช่น แพทยศาสตร์ ครุศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น
  • โรงเรียนสายอาชีพ จะคล้ายๆ ปวช. บ้านเรา เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการฝึกทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง
และเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมปลายหรือโรงเรียนสายอาชีพแล้ว ก็จะแยกไปได้อีก 2 ทางค่ะ คือ มหาวิทยาลัย และ โพลีเทคนิค ซึ่งระบบมหาวิทยาลัยของฟินแลนด์จะไม่ต่างจากในบ้านเรา พอเรียนจบปริญญาตรี ก็ต่อปริญญาโทและเอกได้ ส่วนโพลีเทคนิคนั้น จะคล้ายๆ ปวส. ของเมืองไทยแต่จะใช้เวลาเรียน 3-4 ปี ปัจจุบันฟินแลนด์มีจำนวนมหาวิทยาลัยทั้งหมดเป็นของรัฐประมาณ 20 แห่ง และมีจำนวนโพลีเทคนิคประมาณ 30 แห่งที่ดำเนินการโดยรัฐบาล เทศบาล และเอกชนค่ะ

เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
  • ฟินแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ผลิตหนังสือสำหรับเด็กมากที่สุดในโลก
  • รายการต่างประเทศที่เข้ามาฉายในช่องทีวีของฟินแลนด์ มักไม่ค่อยมีการพากย์เสียงภาษาฟินแลนด์ จะยังคงพูดภาษาเดิมนั้นๆ แต่จะขึ้นซับไตเติ้ลด้านล่างให้อ่านแทน
  • ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อยมากถึงมากที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:http://upluskorea.com/ และ  http://www.adviceforyou.co.th/articles/565-finland-education/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น